‘วิกฤตไทย–กัมพูชา’ รอยแผลเศรษฐกิจบาดลึก อนาคต OCA มืดมน
ฐานเศรษฐกิจ
10 ธ.ค. 2568 | 04:59 น.
ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาในปี 2568 ไม่ใช่เพียงเหตุยิงปะทะธรรมดา หากแต่เป็น “สงครามทางเศรษฐกิจ–การเมือง–ภูมิรัฐศาสตร์” ที่มีผลสะเทือนลึกและยาวไกลกว่าพื้นที่พรมแดนที่ติดกันกว่า
800 กิโลเมตรของทั้งสองประเทศ
ความตึงเครียดเริ่มปะทุจากเหตุปะทะในสามเหลี่ยมมรกต
ก่อนลุกลามสู่ “สงคราม 5
วัน” ระหว่างวันที่ 24–28 กรกฎาคม
ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 48 ราย
และประชาชนกว่า 300,000 คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ชายแดน
เหตุการณ์รุนแรงระดับนี้ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศสั่นสะเทือนในทันที
การแทรกแซงของประเทศมหาอำนาจยิ่งทำให้วิกฤตมีมิติทางภูมิรัฐศาสตร์เข้มข้นขึ้น
สหรัฐอเมริกาภายใต้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้ “Tariff
Diplomacy” ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจากไทยและกัมพูชาถึง
36% ในช่วงแรก หากไม่หยุดยิง
ขณะที่จีนเดินเกมเพื่อรักษาอิทธิพลในภูมิภาค
ท้ายที่สุดทั้งสองประเทศได้มีลงนามข้อตกลงสันติภาพกัวลาลัมเปอร์เมื่อ 26 ตุลาคม แต่สันติภาพอยู่ได้เพียงไม่ถึงสองเดือน
ก่อนเหตุลอบวางระเบิดและข้อกล่าวหาระหว่างกันจะทำให้รัฐบาลไทยประกาศว่า “Peace
is over” และนำไปสู่การโจมตีทางอากาศในวันที่ 8
ธันวาคม และมีการปะทะกันด้วยอาวุธในหลายพื้นที่ตลอดแนวพรมแดนจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในผลกระทบใหญ่ที่สุดคือ “อัมพาตทางการค้า” ด่านคลองลึก–ปอยเปต ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์
ถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด ทำให้การค้าชายแดนมูลค่าราว 174,500 ล้านบาทต่อปีหยุดชะงัก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมัน
และวัสดุก่อสร้างของไทยที่เป็นเส้นเลือดหลักของภาคการผลิตกัมพูชา
ขณะที่ไทยสูญเสียวัตถุดิบสำคัญ เช่น มันสำปะหลังและเศษโลหะ ทำให้อุตสาหกรรมแป้งมัน
เอทานอล และเหล็กได้รับผลกระทบซ้ำซ้อน
ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายทางการค้าโดยตรง
(กรณีปิดด่านตลอดปี) ไทยจะสูญเสียการส่งออกประมาณ 66,610 ล้านบาท และไทยจะสูญเสียสินค้านำเข้าจำเป็นราว 20,370 ล้านบาท GDP ของไทยอาจหดลง 0.74% ในปี 2569
ขณะที่กัมพูชาจะเผชิญภาวะเงินเฟ้อสูง
เนื่องจากพึ่งพาสินค้าทุนจากไทยเกือบทั้งหมด
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++