เอกชนชี้ ปรับค่าจ้างขั้นต่ำเอื้อผู้ประกันตน แต่บีบกำไร
ฐานเศรษฐกิจ
04 ธ.ค. 2568 | 05:35 น.
คณะรัฐมนตรี (ครม.)
ได้มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำและเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนมาตรา
33 ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง
โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการจ้างงานจำนวนมาก
การปรับฐานค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ได้กำหนดไว้ว่า
ค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้ในการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคมจะปรับเพิ่มขึ้นตามขั้นบันไดทุก
3 ปี โดยเริ่มจาก 17,500 บาทในปี 2569-2571 และจะเพิ่มสูงสุดที่ 23,000 บาทในปี 2575
เป็นต้นไป
โดยการปรับเพดานค่าจ้างสูงสุดนี้จะมีผลต่อการคำนวณสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น
เงินบำนาญชราภาพและเงินทดแทนกรณีเสียชีวิต
ซึ่งจะทำให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นตามสภาพค่าจ้างที่แท้จริง
การปรับฐานค่าจ้างครั้งนี้ถือเป็นการสะท้อนถึงความพยายามของภาครัฐในการปรับปรุงสวัสดิการให้กับผู้ประกันตนให้มีความสอดคล้องกับค่าจ้างที่ได้รับจริง
ซึ่งเป็นการช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับผู้ประกันตนในระยะยาว
นายสุรพงศ์ สุทธิกุญชร
ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ไข่หวานบ้านซูชิ
(ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งในผู้ประกอบการในภาคธุรกิจร้านอาหาร
ได้เปิดเผยข้อมูลกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า
ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในช่วงเวลานี้
เนื่องจากมองว่าอาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยมีเหตุผลหลักๆ
ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับฐานค่าจ้างในเชิงเศรษฐกิจ
การขยับตัวเลขค่าจ้างขั้นต่ำขึ้นในช่วงนี้จะส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการต้นทุนของธุรกิจร้านอาหาร
เนื่องจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำไม่ได้เพียงแค่เพิ่มรายจ่ายในส่วนของค่าจ้าง
แต่ยังส่งผลต่อค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น
ค่าประกันสังคมที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเพิ่มขึ้น
ซึ่งเป็นต้นทุนที่ต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการ
ในกรณีของธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีการจ้างงานจำนวนมาก
การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้ต้นทุนการดำเนินธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แม้ว่ารายได้จากการขายอาจจะเพิ่มขึ้นตามการปรับฐานค่าจ้าง
แต่กำไรสุทธิที่แฟรนไชส์ได้รับอาจจะเท่าเดิม หรืออาจจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น
โดยเฉพาะในส่วนของเงินสมทบกองทุนประกันสังคมและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการพนักงาน
นายสุรพงศ์กล่าวว่า
แม้จะมีการเพิ่มค่าแรงให้กับพนักงาน
แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นก็ส่งผลให้กำไรสุทธิของธุรกิจหรือแฟรนไชส์อาจจะไม่เพิ่มขึ้นตามที่คาดหวัง
ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้
หากต้นทุนสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้ธุรกิจไม่สามารถรับมือได้ในระยะยาว
จากมุมมองของผู้บริหารในภาคธุรกิจ
นายสุรพงศ์ได้เสนอแนะว่า
หน่วยงานราชการควรมีการสอบถามความคิดเห็นจากผู้ประกอบการธุรกิจและทำประชาพิจารณ์ (Survey)
ก่อนที่จะตัดสินใจในการปรับค่าแรงขั้นต่ำ
ซึ่งการทำประชาพิจารณ์จะช่วยให้การตัดสินใจเกิดขึ้นจากข้อมูลที่หลากหลาย
และช่วยให้ทุกฝ่ายได้รับข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น
การรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการจะช่วยให้หน่วยงานราชการเข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจ
และสามารถปรับนโยบายให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในขณะนั้น
นอกจากนี้การทำประชาพิจารณ์จะช่วยสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++