‘หาดใหญ่’วิกฤต เศรษฐกิจจมนํ้า ทุบซ้ำท่องเที่ยว-อสังหาฯ 10จว.ใต้เสียหาย1,500ล้าน/วัน
ฐานเศรษฐกิจ
26 พ.ย. 2568 | 06:27 น.
มหาอุทกภัยครั้งรุนแรงในรอบ25ปีนับตั้งแต่วันที่17พฤศจิกายนเป็นต้นมาส่งผลให้อำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา เขตเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ตอนล่าง ได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง
ระบบโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมทุกประเภทถูกตัดขาด จากน้ำป่าไหลบ่าอย่างรวดเร็ว
ปริมาณน้ำฝนเติมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ย่านธุรกิจการค้า บ้านเรือนประชาชน ปศุสัตว์
พื้นที่การเกษตร
จมดิ่งใต้บาดาลสะท้อนถึงความเป็นความตายของนาทีชีวิตยังไม่รวมจังหวัดปลายด้ามขวาน
ขณะที่ทุกภาคส่วนระดมสรรพกำลังช่วยเหลือ
ซึ่งสถานการณ์ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความเปราะบางของศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคใต้
หากยังเป็นสัญญาณเตือนสำคัญว่าการลงทุนด้านการจัดการภัยพิบัติและปรับตัวต่อสภาพอากาศสุดขั้วเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนในการปกป้องเครื่องยนต์เศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ทั้งนี้ข้อมูลสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
พบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี ของภาคใต้มีมูลค่าประมาณ 1.163 ล้านล้านบาท คิดเป็น 8.01%
ของจีดีพีทั้งประเทศ โดยจังหวัดสงขลามีมูลค่าจีดีพีเป็นอันดับ 1
มูลค่า 2.24 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.46% ของจีดีพีประเทศ รองลงมาได้แก่สุราษฎร์ธานี มูลค่า 1.77 แสนล้านบาท และอันดับ 3 คือ นครศรีธรรมราช มูลค่า1.47
แสนล้านบาท
จากความเสียหายที่เกิดขึ้น
และเพื่อช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ล่าสุด คณะรัฐมนตรี (ครม.)
มีมติประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้ง จังหวัดสงขลา
รูปแบบคล้ายรัฐบาลยุค พล.อ. ประยุทธ์ จันนทร์โอชา ช่วงสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งผลตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน2568 ถึง25 กุมภาพันธ์ 2569 โดยมี
พล.อ.อุกฤษฎ์ บุญตานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธาน ขณะความเสียหาย
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) พื้นที่ 9 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานียะลา นราธิวาส รวม 98 อำเภอ 643 ตำบล 4,688 หมู่บ้าน
ประชาชนได้รับผลกระทบ 798,695 ครัวเรือน 2,196,758 คน ส่วน ข้อมูล ปภ.สงขลา โดยเฉพาะพื้นที่อำเภอหาดใหญ่สถานการณ์ยังวิกฤติ
ประชาชนอพยพแล้วกว่า 2,050 คน พบผลกระทบสูงสุด 104,917
ครัวเรือน 243,778 คน
อย่างไรก็ตามสถานการณ์น้ำท่วม ในพื้นที่ 10
จังหวัดภาคใต้ที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องถึงเวลานี้ นายธนวรรธน์
พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่าประเมินผลกระทบสร้างความเสียหายประมาณ 1,000-1,500
ล้านบาทต่อวัน เนื่องจากเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว
ทั้งนี้หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อเนื่องใน 1 เดือน
ประเมินว่าจะมีความเสียหายประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์
ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)
เปิดเผยถึงผลกระทบด้านการท่องเที่ยวจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 21-24
พฤศจิกายนว่า พบว่ามี 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่
ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของสงขลา
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 8,000 คนติดค้างอยู่ในโรงแรมต่าง
ๆในหาดใหญ่ ในจำนวนนี้ เป็นชาวต่างชาติ 7,300 คน โดย 90%
เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย และอีก 10% เป็นนักท่องเที่ยวสิงคโปร์และอินโดนีเซีย
ประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยครั้งนี้ยังส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวโดยรวม
โดยรัฐบาลมาเลเซีย และสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา
ได้ประกาศเตือนพลเมืองให้ เลื่อนการเดินทางท่องเที่ยวมายังภาคใต้ของไทย
ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.2568
และสื่อกระแสหลักของมาเลเซีย มีการรายงาน
โดยเฉพาะกรณีที่นักท่องเที่ยวมาเลเซียติดค้าง
ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเลเซียเกิดความวิตกกังวล
และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นในการเดินทางมายังภาคใต้โดยรวม
ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อนักท่องเที่ยวตลาดมาเลเซีย
ให้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นแทน
หรือมีการยกเลิก/ชะลอการเดินทางออกไปก่อน
อีกทั้งยังทำให้เกิดการเสียโอกาสในการดึงนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่
เนื่องจากนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางไปชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงที่ อ.เบตง จ.ยะลา
ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีการยกเลิกงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส Christmas Tree Light Up Celebration ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ และเลื่อนกิจกรรม THAI FIGHT พัทลุง
นอกจากนี้ททท.ยังคาดการณ์ผลกระทบการจากการชลอการเดินทางท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
คาดว่าพฤศจิกายน จะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ไปเที่ยวสงขลา 243,150 คน-ครั้ง ติดลบ 6.9 % และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 1,920
ล้านบาท หดตัว 8.5 % ส่งผลให้แนวโน้มภาคใต้
มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 2,490,370 คน-ครั้ง
เติบโตเล็กน้อยอยู่ที่ 0.92 % และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 16,140
ล้านบาท ติดลบ 1.82 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี
2567
ขณะที่แนวโน้มในเดือนธันวาคมคาดว่ามีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย
306,400 คน-ครั้ง หดตัวประมาณ 2% และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว
2,410 ล้านบาท หดตัวประมาณ 4% ส่งผลให้แนวโน้มภาคใต้
มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 2,792,200 คน-ครั้ง เติบโต 1.28%
และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 17,680 ล้านบาท
หดตัว 1.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567
สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศตลาดมาเลเซียถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักอันดับ
1 ของไทย โดยมีสัดส่วน 14 % ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และส่วนใหญ่กว่า 73% เดินทางเข้าไทยผ่านด่านชายแดนทางบกภาคใต้ ซึ่งททท.
คาดการณ์ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2568 จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของตลาดมาเลเซียในระยะสั้น
1-2 สัปดาห์
โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน-ต้นเดือนธันวาคมโดยแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
กรณีที่ 1 (กระทบระยะสั้น 1 สัปดาห์) คาดการณ์นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยทั้งปี 2568 ประมาณ 4.60 ล้านคน ลดลง 7 % จากปี
2567 กรณี 2 (กระทบมากกว่า 1 สัปดาห์) หากสถานการณ์ยืดเยื้อ
คาดการณ์นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยทั้งปี 2568 ประมาณ 4.55
ล้านคน ลดลง 8 % จากปี 2567อย่างไรก็ตามทั้งนี้หากเป็นในกรณีที่ 2 จะทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งปี
2568 คาดว่าจะต่ำกว่า 33 ล้านคน ลดลง 8
% จากปี 2567
นอกจากนี้ททท.อยู่ระหว่างการเตรียมแผนในการเยียวผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ
และส่งเสริมตลาดจัดกิจกรรมในช่วงปลายปี อาทิ เทศกาล Countdown หาดใหญ่ เทศกาลตรุษจีน และอีเวนต์อื่นๆ อื่นๆ
รวมถึงชงมาตรการส่งเสริมการขายหรือ
มาตรการฟื้นฟูด้านการเงินสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบหนัก
ที่จะช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่
และช่วยเหลือผู้ประกอบการและฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่
ด้านดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา
กล่าวว่าปัจจุบันโรงแรมในหาดใหญ่กว่า 300 แห่ง
รวมจำนวนห้องพักกว่า 3 หมื่นห้อง
ต้องปิดกิจการจากผลกระทบน้ำท่วม เหลือที่เปิดให้บริการได้ราว 10 แห่งเท่านั้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้า
โดยในช่วงแรกมีรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวติดค้างที่ได้รับข้อมูลเข้ามาประมาณ
7,000-8,000 คน
แต่เมื่อรวมกับผู้ที่อยู่นอกบริเวณหรือยังไม่ได้แจ้งข้อมูลเข้ามา
คาดการณ์ว่าอาจมีนักท่องเที่ยวรวมเป็นหมื่นคนก
สิ่งเร่งด่วนที่สุดคือการนำนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่ให้ได้ก่อน
เพราะหากไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ การจะเรียกนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย
ซึ่งหาดใหญ่พึ่งพาอย่างมาก
ให้กลับมาเที่ยวอีกครั้งจะไม่ใช่เรื่องง่ายโดยได้ทยอยช่วยเหลือ
ทำให้ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 1,000
กว่าคน แต่ก็มีปัญหาระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นมาอีก
โดยผู้ประกอบการเห็นว่าการรับมือและดูแลนักท่องเที่ยวของภาครัฐในวิกฤตนี้
“ทำได้ล้มเหลว” มีความล่าช้า ไม่ทั่วถึง และขาดศูนย์กลางในการบัญชาการ
ทั้งคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ เพราะกว่าน้ำจะลด
ก็ต้องมีการซ่อมแซมสถานประกอบการ และสิ่งที่กังวล คือ
การเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมา
เนื่องจากย่านใจกลางเมืองหาดใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเป็นหลัก
เพราะได้มีการยกเลิกการเดินทางทั้งหมดแล้ว และในระยะยาว คาดการณ์ว่าการฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาเป็นปกติอาจใช้เวลาเป็นเดือน
เช่นเดียวกับ นายยุทธศักดิ์
สุภสร ประธานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
ประเมินว่าสถานการณ์น้ำท่วมที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
พบว่ามีนิคมอุตสาหกรรมที่อยู่ใกล้เคียง 2 แห่ง คือ
นิคมฯภาคใต้ และ นิคมอุตสาหกรรมสงขลา
(สะเดา)ปัจจุบันยังไม่มีน้ำท่วมเข้าไปภายในพื้นที่นิคมฯ แต่โรงงานภายในนิคมฯ
ได้รับผลกระทบ 1. โรงงานไม่สามารถขนส่งสินค้าได้
2. พนักงานไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ เนื่องจากน้ำท่วมหนักรอบๆ นิคมฯ
และในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ 3. โรงงานหยุดประกอบการ 100
%
ส่วนพื้นที่สวนยางได้รับผลกระทบไม่ต่ำกว่า 13 ล้านไร่ ปริมาณผลผลิตกว่า 2
หมื่นตัน
ซึ่งภาคใต้เป็นแหล่งพื้นที่ปลูกและผลิตยางพาราที่มากที่สุดในประเทศ
และเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของโลก ทั้งนี้ ดร.เพิก เลิศวังพง
ผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)
คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อราคายางในตลาดโลก เนื่องจากฝนตกต่อเนื่อง
สำหรับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในอำเภอหาดใหญ่จังหวัดสงขลาและพื้นที่ใกล้เคียงไม่เพียงแต่
สร้างความเสียหายให้ กับธุรกิจภาคอื่นแต่ยังกระทบโดยตรง ต่อ ตลาดที่อยู่อาศัย
ทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยแล้ว และโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย
ซึ่งจะเห็นภาพชัดเจนว่าพื้นที่ไหนเป็นพื้นที่เสี่ยงและอาจมีผลต่อการขายโครงการในพื้นที่
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย
ระบุว่า น้ำท่วมครั้งนี้เปลี่ยน สถานการณ์เป็นขาลงทันที
เพราะโครงการที่ตั้งบนทำเลลุ่มต่ำ ทั้งบ้านพรุ หาดใหญ่ใน
และใจกลางเมือง
ต่างเผชิญความเสียหายหนักที่สำคัญหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อจาก
ยะลา ปัตตานี นราธิวาส
ที่มองหาบ้านหลังที่สองกันมากที่ผู้ประกอบการทั้งในพื้นที่และส่วนกลางเข้ามาพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง
เพราะมองว่าหาดใหญ่เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแต่เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้ประเมินว่าต้องพิจารณากันใหม่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++