Home

November 19, 202513 2

ไทยเร่ง Net Zero ดึงเงินช่วย 2.3 แสนล้าน เดินหน้า 31 โครงการ ลดคาร์บอนเร็วขึ้น 15 ปี

ฐานเศรษฐกิจ, 19 พฤศจิกายน 2568

เปิด NDC 3.0 สู่เป้า Net Zero เร็วขึ้น 15 ปี ชี้ไทยต้องการเงินช่วยเหลือ 2.3 แสนล้านบาท ในทุกรูปแบบรวม 31 โครงการ ใน 5 สาขา ทั้ง CCS Hub โรงไฟฟ้า SMR ผลิตรถบรรทุกไฟฟ้า 8 หมื่นคัน รถโดยสารระหว่างเมืองไฟฟ้า 5 พันคัน เรือไฟฟ้า 2 พันลำ การใช้ไฮโดรเจนภาคขนส่ง หวังลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหลือ 152 ล้านตัน ปี 2578

คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติเห็นชอบ การมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (Nationally Determined Contribution: NDC) ฉบับที่ 2 หรือ NDC 3.0 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งเป็นกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะ 10 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 257-2578) เพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) และความตกลงปารีส (Paris Agreement)

โดย NDC ดังกล่าวจะต้องจัดทำขึ้นทุก ๆ 5 ปี และนำเสนอต่อ UNFCCC ในระหว่างการประชุม COP 30 ซึ่งปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน 2025 ที่เมืองเบเล็ง สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล

แหล่งข่าวจากกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า สาระสำคัญของ NDC 3.0 เป็นการยกระดับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero ) ของไทยให้เร็วขึ้น 15 ปี หรือภายในปี 2593 โดยกำหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะปล่อยไม่เกิน 270 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) ภายใน 2578 เมื่อเทียบกับปีฐาน 2562 ที่ปล่อยอยู่ที่ 379.2 MtCO2eq ทำให้ไทยจะต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 109.2 MtCO2eq

แบ่งเป็นการดำเนินการเองในประเทศ 76.4 MtCO2eq หรือสัดส่วนราว 70% และการขอสนับสนุนจากต่างประเทศ 32.8 MtCO2eq หรือสัดส่วนราว 30% ซึ่งจะส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิอยู่ที่ 152 MtCO2eq ภายในปี 2578 หรือลดลงราว 47% จากปีฐาน

ส่วนมาตรการในการลดก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินการใน 5 ภาคส่วนหลัก ได้แก่ ภาคพลังงาน เป็นภาคส่วนที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซสูงสุด มีเป้าหมายลดการปล่อยจาก 185.2 MtCO2eq ในปี 2562 ให้เหลือ 117.1 MtCO2eq ในปี 2578 ภาคคมนาคมขนส่ง มีเป้าหมายลดการปล่อยจาก 76.8 MtCO2eq ในปี 2562 ให้เหลือ 54.2 MtCO2eq ในปี 2578

ภาคเกษตรกรรม ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 60.5 MtCO2eq ในปี 2562 ให้เหลือ 52.9 MtCO2eq ในปี 2578 ภาคกระบวนทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ มีเป้าหมายลดการปล่อยจาก 38.0 MtCO2eq ในปี 2562 ให้เหลือ 33.8 MtCO2eq ในปี 2578 และภาคการจัดการของเสีย ตั้งเป้าลดการปล่อยจาก 18.7 MtCO2eq ในปี 2562 ให้เหลือ 12.0 MtCO2eq ในปี 2578 รวมถึงการเพิ่มการดูดซับเพื่อหักล้างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิ จากภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน (LULUCF) จากปี 2562 ดูดซับก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 92.0 MtCO2eq จะเพิ่มเป็น 118.0 MtCO2eq ในปี 2578

นอกจากนี้ เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ในรายงานระบุว่า NDC 3.0 ได้ผนวกแผนการลงทุน ที่มีความสอดคล้องกับมาตรการ/เทคโนโลยีที่ต้องการขอรับสนับสนุนจากต่างประเทศ ในรูปแบบเงินอุดหนุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เงินค้ำประกัน และเงินลงทุน รวมจำนวน 31 โครงการ ใน 5 สาขา เนื่องจากต้องพึ่งพาเทคโนโลยีขั้นสูง และยังไม่ได้มีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในเชิงพาณิชย์ โดยประเมินมูลค่าการลงทุนในเทคโนโลยีต่าง ๆ ในช่วงเวลาของการดำเนินงานปี 2573-2578 อยู่ที่ประมาณ 7,047 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2.3 แสนล้านบาท(คำนวณอัตราแลกเปลี่ยนที่ 32.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) จากต้นทุนในการลดก๊าซเรือนกระจกอยู่ในช่วง 0.41-1,353 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้อีก 32.80 MtCO2eq ภายในปี 2578

ทั้งนี้ เป็นในส่วนของภาคพลังงาน รวม 1,077.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จำนวน 8 โครงการ ได้แก่ ศูนย์กลางดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS/CCS Hub) อ่าวไทยตอนบน ต้องการเงินสนับสนุน 454.70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพการกักเก็บที่ 8 MtCO2eq

โรงไฟฟ้าเครื่องปฏิกรณ์โมดูลาร์ขนาดเล็ก (SMR/MMR) ต้องการเงินสนับสนุน 25.43 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดปล่อยคาร์บอนที่ 2 MtCO2eq โรงไฟฟ้าที่ใช้แอมโมเนีย (NH3) ผสมร่วมกับเชื้อเพลิง ต้องการเงินสนับสนุน 250.00 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพการลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2 MtCO2eq โรงไฟฟ้าที่ใช้ไฮโดรเจน (H2) ผสมร่วมกับเชื้อเพลิง ต้องการเงินสนับสนุน 112.50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 0.5 MtCO2eq

การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ด้วยกระบวนการ Fischer-Tropsch (SPK) (แผนระยะยาว) ต้องการเงินสนับสนุน 81.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดปล่อยคาร์บอนได้ 1 MtCO2eq การผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) จากแอลกอฮอล์เป็นเชื้อเพลิงเครื่องบิน (แผนระยะสั้นถึงระยะยาว) ต้องการสนับสนุน 31.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 0.5 MtCO2eq

รวมถึงการยุติการดำเนินงานโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนด ต้องการเงินสนับสนุน 66.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่จะช่วยลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ราว 6 MtCO2eq และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ต้องการเงินสนับสนุน 55.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยในการสนับสนุนความเสถียรของระบบส่งไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน

ขณะที่ภาคการขนส่ง จะเน้นไปที่การใช้พลังงานไฟฟ้าและไฮโดรเจนสำหรับยานยนต์ขนาดใหญ่ จำนวน 7 โครงการ ได้แก่ เรือบรรทุกสินค้าไฮโดรเจน (ขนาด Handy Size) ต้องการเงินสนับสนุน 0.12 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจกได้ 0.3 MtCO2eq

การส่งเสริมรถบรรทุกไฮโดรเจน ต้องการเงินสนับสนุน 888.02 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.9 MtCO2eq การส่งเสริมเรือนเฟอร์ร่ีและเรือสำราญโดยสารไฮโดรเจน ต้องการเงินสนับสนุน 0.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.3 MtCO2eq

การผลิตรถบรรทุกไฟฟ้า จำนวน 80,000 คัน ต้องการเงินสนับสนุน 923.95 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจกที่ 1.20 MtCO2eq การผลิตรถโดยสารระหว่างเมืองไฟฟ้า จำนวน 5,000 คัน ต้องการเงินสนับสนุน 1,679.92 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจกที่ 1.8 MtCO2eq

การส่งเสริมใช้รถไฟพลังงานไฮโดรเจน ต้องการเงินสนับสนุน 320.39 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.6 MtCO2eq และการผลิตเรือไฟฟ้า จำนวน 2,000 ลำ ต้องการเงินสนับสนุน 1,218.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.9 MtCO2eq

ส่วนภาคกระบวนทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ (IPPU) มุ่งเน้นไปที่การดักจับคาร์บอนและวัสดุทางเลือก จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ ศูนย์กลางดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS Hub) ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ต้องการเงินสนับสนุน 113.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.81 MtCO2eq

การดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCU) เงินสนับสนุน 29.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.27 2.7 MtCO2eq การผลิตปูนซีเมนต์ Limestone Calcine Clay (LC3) ต้องการเงินสนับสนุน 18.33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.41 MtCO2eq

การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ในอุตสาหกรรมซีเมนต์ ต้องการเงินสนับสนุน 246.08 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.54 MtCO2eq การใช้เทคโนโลยีการทำลายสารทำความเย็น ต้องการเงินสนับสนุน 0.26 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.27 MtCO2eq และการใช้สารทำความเย็น (R-600a) และ(R-290) ต้องการเงินสนับสนุน 238.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.41 MtCO2eq

อีกทั้ง ภาคการเกษตร ที่เน้นการจัดการน้ำและลดการปล่อยมีเทน จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ การจัดการฟางและตอซังข้าวแบบทางเลือก (ไม่เผา) ต้องการเงินสนับสนุน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.7 MtCO2eq

การจัดการน้ำทำนาแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ต้องการเงินสนับสนุน 20.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 1.79 MtCO2eq การผลิตไบโอชาร์ (Biochar) ต้องการเงินสนับสนุน 1.60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 2.86 หมื่นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

การปรับปรุงอาหารสัตว์ ต้องการเงินสนับสนุน 44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 4.70 หมื่นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า การจัดการธาตุอาหารเฉพาะพื้นที่ (Site-Specific Nutrient Management) ต้องการเงินสนับสนุน 7.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 4.19 พันตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และการปรับระดับพื้นที่นาด้วยแสงเลเซอร์ (LLL) ต้องการเงินสนับสนุน 57.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการช่วยทางอ้อมในการสนับสนุนเทคโนโลยี AWD

รวมถึงภาคการจัดการของเสีย จะเน้นไปที่การใช้ประโยชน์จากของเสียและการรีไซเคิล จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ การดักจับและใช้ประโยชน์ก๊าซจากหลุมฝังกลบ ต้องการเงินสนับสนุน 55.62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 1 MtCO2eq

การทำปุ๋ยหมักจากของเสียอินทรีย์และการแปรรูปแบบกระจายศูนย์ ต้องการเงินสนับสนุน 29.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.5 MtCO2eq  และโรงคัดแยกวัสดุ (MRFs) พร้อมเทคโนโลยีการคัดแยกขั้นสูง ร่วมกับเทคโนโลยีการรีไซเคิลพลาสติก ต้องการเงินสนับสนุนรวม 29.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มีศักยภาพลดก๊าซเรือนกระจก 0.10 MtCO2eq

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 



version 1.0.5-42794e0f7