Home

October 3, 202510 2

TISCO เตือนรัฐบาล หากไม่เร่งแก้ปัญหาวินัยการคลัง ไทยเสี่ยงถูกปรับลดเครดิตปีหน้า

ฐานเศรษฐกิจ

03 ต.ค. 2568 | 13:15 น.

หลังจากดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาแสดงความเป็นห่วงสถานะการคลังว่า ไทยกำลังเผชิญภาวะรายได้รัฐบาลโตไม่ทันรายจ่ายที่เร่งขึ้น กระทบความยั่งยืนทางการคลัง มีความเสี่ยงที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศลง 

ล่าสุดเมื่อ 24 มิ.ย.68 ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) ประกาศคงเครดิตเรทติ้งของไทยไว้ที่ระดับ BBB+ แต่ปรับลดแนวโน้มลงจาก Stable เป็น Negative ท่ามกลางความเสี่ยงต่อเสถียรภาพการคลังของไทย

ขณะที่งานวิจัยในอดีตสะท้อนว่า การปรับลดแนวโน้มดังกล่าว อาจทำให้ตลาดกังวลว่า บริษัทจัดอันดับเครดิตอาจมีการปรับลดเครดิตเรทติ้งตามมาในอนาคตได้จากก่อนหน้า มูดี้ส์ เรทติ้งเองก็ปรับลดแนวโน้มจาก Stable เป็น Negative เช่นกัน  

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล อดีตผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การที่บริษัทจัดอันดับเครดิตเหล่านี้ปรับลดแนวโน้มลง ถือที่เป็นสัญญาณเตือนรัฐบาลว่า ต้องเร่งแก้ไขในสิ่งที่เขากังวล ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในระดับสูง การชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ  

ไทยประสบปัญหารายจ่ายรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การเติบโตของรายได้ไม่ทันกับรายจ่าย จึงต้องมีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันที่การบริโภคค่อนข้างชะลอตัว อาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่จะปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) เพราะจะยิ่งซ้ำเติมการบริโภคและเศรษฐกิจให้ชะลอตัวลงอีก”

นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า  การปรับแนวโน้มดังกล่าว ไม่สร้างความประหลาดใจนัก เพราะหลังจากกรณี มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ประกาศปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยเป็น Negative เป็นรายแรก เมื่อวันที่ 29 เม.ย.68) นั้น 

ทาง TISCO ESU ก็สะท้อนความเห็นต่อสาธารณะว่า จะมี Rating Agency รายอื่นปรับเรทติ้งตามมา ซึ่งมองไปข้างหน้า มีโอกาสที่ไทยจะถูก Down Grade ได้

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องรีบดำเนินการคือ บริหารด้านการคลัง เพื่อลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี แต่แนวโน้มยังมีความยากที่จะแก้ไขฐานะการคลัง โดยปรับลดภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลงมาในระยะกลาง เพราะการจะลดภาระหนี้สาธารณะต่อจีดีีพีภายใต้ 2 แนวทางคือ ต้องก่อหนี้เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและ ต้องจัดเก็บรายได้เพิ่ม-ขยายฐานรายได้เพิ่มขึ้น 

ตั้งแต่หลังโควิด ประเทศไทยปรับเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีขึ้นมาจากเดิม 60% เป็น 70% แต่ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีขยับเพิ่มกว่า 64% คาดว่า จะขยับเป็น 65% ในสิ้นปี2568 และปี2569 สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีจะปริ่มเพดานค่อนข้างมาก โดยอาจจะเพิ่มเป็น 68-69% ขณะที่ยังมีความเสี่ยงที่จะเห็นปีถัดไป ถ้าทางรัฐบาลไทยตั้งงบประมาณขาดดุลในอัตราสูงกว่า 4%ต่อจีดีพี โอกาสจะเห็นหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเกิน 70% ได้ 

ดังนั้นมีแนวโน้มที่ไทยจะต้องปรับเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นจุดให้เครดิตเรทติ้งแต่ละค่ายลดอันดับเครดิตของไทย/ความน่าเชื่อถือจะถูกปรับลดลงได้ ซึ่งปกติจะมีการทบทวนปีละ 2 ครั้ง (ประมาณเดือนเม.ย.และเดือนก.ย.) ซึ่งเหตุผลไม่ใช่เพียงตัวเลขอย่างเดียว แต่มีเรื่องความเชื่อมั่นด้านการคลังและทางการเมืองด้วย 

ถ้าเศรษฐกิจไทยปีหน้าเติบโตช้ากว่าปีนี้ และเรายังขาดดุลงบประมาณในอัตราใกล้เคียงเดิม โอกาสที่หนี้สาธารณะต่อเติบโตเพิ่มขึ้นใกล้เพดานเข้าไปอีก ซึ่งรัฐบาล 4 เดือนยังทำอะไรไม่ได้ในเรื่องฐานะทางการคลัง คงต้องไปหวังรัฐบาลใหม่ที่อยู่ในวาระ 4ปี” 

อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น รัฐบาล 4 เดือนสามารถจัดตั้งทีมหรือคณะทำงานขึ้นมาทำการศึกษาแนวทางไว้ล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อม และมีการพูดคุยหรือสื่อสารกับ Rating Agency ถึงความพยายามที่จะปรับแก้เรื่องฐานะทางการคลัง เพราะการจะรัดเข็มขัดในช่วงนี้ที่เศรษฐกิจเติบโตต่ำและช้า ต้องใช้นโยบายการคลังเข้ามาช่วยกระตุ้น การลดรายจ่ายอาจทำได้ยากใน 1-2 ปีนี้ 

ประเด็นสำคัญที่ต้องเร่งคือ ทำให้ Rating Agency เห็นความตั้งใจจริงที่ไทยจะลดสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีลงมา โดยจัดทำแผนบริหารการคลังในระยะกลางต้องชัดเจน เช่น จะขาดดุลในอัตรานี้ไปอีก 2-3ปี เพื่อจะดูแลให้เศรษฐกิจกลับมาเท่ากับระดับศักยภาพหรือยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจให้สูงขึ้น ดังนั้นไทยจะมีวินัยมากขึ้น โดยรัดเข็มขัดลดรายจ่าย เพื่อให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีปรับลดลงมาอยู่ที่อัตรา 60% ภายในเวลา 5-7 ปีข้างหน้า 

ถ้าไทยจัดทำแผนบริหารการคลังที่ชัดเจนและทำ Action Plan (จัดลำดับ 1234) ถ้า Rating Agency เชื่อว่า เราทำได้และไทยมี Action Plan ที่ชัดเจน เขาอาจยังไม่ Down Grade ไทยก็ได้ แต่หากไม่ทำอะไร โดยปล่อยให้เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ โอกาสที่ไทยจะถูก Down Grade อย่างเร็วปีหน้า อย่างช้าปีถัดไป” นายเมธัสกล่าว 

ขณะที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ออกมาเตือนว่า ไทยควรจะลดการขาดดุล เพื่อที่จะให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีปรับลงมาใกล้ 60% ไม่ใช่พยายามจะเพิ่ม/ขยายเพดานหนี้สาธารณะต่อจีดีพี (มุมมองในสายตานักลงทุนต่างชาติ หรือ Rating Agency รู้สึกว่าไทยขาดวินัย และต่างชาติมีความกังวลว่า หลังจากไทยเพิ่มเพดานหนี้ฯแล้วจะเพิ่มอีกแล้ว

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 



version 1.0.5-42794e0f7