Home

September 19, 202548 6

เปิดโปงขบวนการฟอกเงิน 5 แสนล้าน อาชญากรข้ามชาติ ตัวการป่วนค่าเงินบาท

ฐานเศรษฐกิจ

19 ก.ย. 2568 | 12:34 น.

เปิดโปงขบวนการฟอกเงิน 5 แสนล้าน ใช้คริปโตหนุนบาทแข็ง ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจชี้ขบวนการอาชญากรข้ามชาติใช้สกุลเงินดิจิทัลฟอกเงินแลกบาท มูลค่าหลักแสนล้าน ตัวการหลักทำเงินบาทแข็งค่า 7% จากต้นปี

ความผิดปกติของตลาดการเงินไทยเริ่มปรากฏชัดขึ้นเมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้นถึง 7% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ชี้ว่าสาเหตุมาจากดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลและการซื้อขายทองคำออนไลน์

แต่กูรูวงการสินทรัพย์ดิจิทัลเผยความจริงที่น่าตกใจ เบื้องหลังการแข็งค่าของเงินบาทครั้งนี้มาจาก “กระบวนการฟอกเงินในต่างประเทศที่ใช้คริปโตเคอร์เรนซีมาแลกเป็นเงินบาท”

โดยคาดว่ามีมูลค่าการฟอกเงินผ่านช่องทางนี้สูงถึง 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าการซื้อขายทองคำที่ ธปท. กำลังพยายามควบคุม

ขบวนการอาชญากรข้ามชาติเล็งไทยเป็นฐาน

 แหล่งข่าวจากวงการสินทรัพย์ดิจิทัลรายหนึ่งเปิดเผยกับฐานเศรษฐกิจว่า กรณีค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ เชื่อว่าสาเหตุหลักมาจากกระบวนการฟอกเงินในต่างประเทศ ที่นำเอาคริปโต มาแลกเงินบาททำให้สภาพคล่องในตลาดหายไป ขณะเดียวกันก็จะนำเงินบาทที่ได้ไปซื้อสินทรัพย์ประเภทอื่น ทั้งทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นกู้

 คาดการณ์ว่าจะมีการนำคริปโตมาแลกเป็นเงินบาทในมูลค่าหลักล้านล้านบาท และมีการฟอกเงินผ่านช่องทางนี้ประมาณ 500,000 ล้านบาท หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เงินบาทก็จะแข็งค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การดำเนินการของขบวนการอาชญากรข้ามชาติมีรูปแบบที่ซับซ้อน โดยนำสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้จากกิจกรรมผิดกฎหมายมาแลกเป็นเงินบาท จากนั้นจึงนำเงินบาทที่ได้ไปซื้อสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทั้งทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้นกู้ เพื่อฟอกเงินให้สะอาด”

 ปัญหาสำคัญคือ ธนาคารแห่งประเทศไทยไม่มีข้อมูลว่าในแต่ละวันมีการโอนคริปโตเคอร์เรนซีเข้าประเทศเท่าไร โอนออกเท่าไร เช่นเดียวกับผู้ประกอบการในประเทศที่ไม่มีใครทราบตัวเลขที่แท้จริง ทำให้เกิดช่องโหว่ให้อาชญากรข้ามชาติใช้ประโยชน์

นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ร้านทองกับผู้ซื้อแอบตกลงกันให้โอนชำระเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเข้าวอลเล็ต โดยร้านทองจะแอบบวกราคาเข้าไปเพื่อทำกำไรจากการเสี่ยง ซึ่งกิจกรรมแบบนี้ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในการติดตาม

 ที่สำคัญคือประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับ เป็นช่องโหว่ ให้อาชญากรข้ามชาติ นำคริปโตมาแลกเงินบาท และนำไปซื้อสินทรัพย์อื่นได้ คาดว่าจะมีการผลักดันให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฉบับใหม่ออกมาต้นปีหน้า เพื่อปิดช่องโหว่เหล่านี้

เปิดตัวเลขแบงก์ชาติพบเงินสีเทาพุ่งทะลุ 5 แสนล้าน

 ปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนผ่านตัวเลขค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ (Net Errors and Omissions หรือ NEO) ในดุลการชำระเงินของไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ตัวเลข NEO ในปี 2564 อยู่ที่ 340,290.37 ล้านบาท ก่อนจะลดลงเป็นลบในปี 2565 ที่ -2,528.18 ล้านบาท

 แต่ในปี 2566 ตัวเลขกลับพุ่งสูงขึ้นมาอีกครั้งที่ 180,404.36 ล้านบาท และในปี 2567 พุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจถึง 530,855.49 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบสามเท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ในไตรมาสแรกของปี 2568 ค่า NEO อยู่ที่ 80,909.45 ล้านบาท หากคำนวณแบบปีเต็มด้วยอัตราเดียวกัน อาจหมายถึงค่า NEO ในปี 2568 จะสูงถึงประมาณ 323,637.8 ล้านบาท

 ตามทฤษฎีดุลการชำระเงิน ดุลการชำระเงินจะต้องเท่ากับผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุนเสมอ เนื่องจากเป็นระบบการบันทึกแบบสองด้าน (double-entry bookkeeping) ที่ต้องมีทั้งรายการ “รับ” และ “จ่าย” ให้สมดุลกัน แต่ในโลกของความเป็นจริง การเก็บข้อมูลไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกธุรกรรมอย่างสมบูรณ์และทันเวลา จึงเกิดความแตกต่างที่เรียกว่า “ค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิ” ขึ้นมา

ศุภวุฒิ ระบุชัดธุรกิจสีเทาตัวการป่วนค่าบาท

 ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่าการที่ ธปท. จะลดแรงกระแทกค่าเงินบาทจากการค้าทองคำเป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุดและไม่ตอบโจทย์ แม้จะทำให้การค้าทองชะงักไปบ้าง แต่จะกลายเป็นการลงโทษคนที่ค้าขายทองปกติมากกว่า เพราะจะทำให้การค้าขายมีต้นทุนมากขึ้น

 “ภาพรวมการซื้อขายทองเป็นสัดส่วนน้อยมาก” ดร.ศุภวุฒิกล่าว พร้อมชี้ว่า ปัญหาหลักอยู่ที่ตัวเลข NEO ที่พุ่งขึ้นผิดปกติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายโควิดมีเงินไหลเข้ามาจำนวนมาก และตัวเลขไม่ตรงกับเงินที่ไหลออกไป “ซึ่งมาจากธุรกิจสีเทา เพราะไม่รู้มาจากไหนไม่ได้อยู่ในปัญชีไหนเลย เฉลี่ย 3,000 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาสตรงนี้เป็นโจทย์ที่ ธปท. จะต้องไปดูรายละเอียดตรงจุดนี้มากกว่าที่จะไปแก้ไขเรื่องการซื้อขายทองออนไลน์

 ก่อนหน้านี้พบว่า มีเงินไหลออกจากไทยมากกว่าไหลเข้า อย่างช่วงปี 2558-2560 ซึ่งไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่จำนวนไม่มากเดือนละ 500 ล้านดอลลาร์ อาจจะตกหล่นได้ แต่ช่วงหลังกลายเป็นเงินไหลเข้าโดยไม่รู้ที่มาแทน ทำให้บาทแข็งค่าแรงและเร็วเป็นพิเศษ แม้ว่าก่อนหน้าโควิด ช่วงปี 2558-2562 เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น 10% ก็ตาม

ภาคธุรกิจเผยผลกระทบคริปโต

 นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย เงินบาทที่แข็งค่ามากสุดในรอบ 4 ปี นอกจากเป็นผลกระทบจากเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และจากราคาทองคำในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น กระตุ้นให้มีการส่งออกทองคำ และนำเงินดอลลาร์ที่ได้มาแลกกลับเป็นเงินบาทแล้ว ยังมองว่า เป็นผลจากการลงทุนซื้อขายคริปโตในไทยที่ขยายตัวมาก โดยได้นำคริปโตมาแลกเป็นเงินบาทเพื่อเทรด ทำให้มีความต้องการเงินบาทมากขึ้น

 ขณะที่เมื่อนักลงทุนได้กำไรจาก Bitcoin, Ethereum, หรือเหรียญอื่น แล้วขายทำกำไรอาจแปลงคริปโตเป็นเงินบาท เพิ่มดีมานด์เงินบาทในตลาด เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า

 “ที่พอจะจับความได้จากภาคการเงินถึงสาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่ามาก นอกจากดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าแล้ว ยังเป็นผลจาก 1. เรื่องทองคำ ความต้องการทองคำสูงก็มีความต้องการบาท เอาไปแลกทองคำ อันที่ 2 เป็นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆคือเรื่อง คริปโตเคอร์เรนซี พอมีความต้องการไปลงทุนในคริปโตเยอะๆ ก็เหมือนกับการต้องการเงินบาทไปแลกเหมือนทองคำ สองรายการนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ของการเงินโลก ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็งกำไร คงต้องไปดูว่าจะมีวิธีบริหารจัดการอย่างไร เพื่อไม่ให้มามีผลกระทบต่อการทำธุรกิจของภาคเรียลเซ็คเตอร์”

เปิดเบื้องหลังเงินทุนสีเทาทะลักไทย 5 แสนล้าน

 ธปท. ได้นิยามค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิว่าเป็น “ความคลาดเคลื่อนจากการจัดเก็บสถิติ” ที่คำนวณจากความแตกต่างระหว่างดุลการชำระเงินกับผลรวมของดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลบัญชีเงินทุน อย่างไรก็ตาม การที่ค่านี้มีขนาดใหญ่และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าอาจมีปัจจัยอื่นที่ซับซ้อนกว่าการเก็บข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์

 หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิขนาดใหญ่คือการมีอยู่ของธุรกิจผิดกฎหมายและเศรษฐกิจใต้ดินที่ไม่ถูกบันทึกในระบบทางการ แต่ก่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนจริง กิจกรรมเหล่านี้รวมถึงการลักลอบค้าสินค้าโดยไม่ผ่านศุลกากร ซึ่งทำให้มูลค่าการนำเข้าที่บันทึกในดุลการชำระเงินต่ำกว่าความเป็นจริง

 การค้ายาเสพติดและสินค้าเถื่อนเป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากรายได้จากกิจกรรมเหล่านี้ไม่ถูกนับเป็นการส่งออกสินค้าหรือบริการในทางการ แต่เงินตราต่างประเทศไหลเข้าหรือออกจากประเทศจริง ส่งผลให้เกิดความไม่สมดุลในการบันทึก

 ธุรกรรมฟอกเงินเป็นปัจจัยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมายมักถูกโอนออกไปต่างประเทศผ่านช่องทางที่ไม่ผ่านระบบการรายงานให้ธนาคารแห่งประเทศไทย การเคลื่อนย้ายเงินทุนลักษณะนี้ไม่ปรากฏในสถิติทางการ แต่ส่งผลต่อดุลการชำระเงินจริง

 แรงงานนอกระบบและบริการเถื่อนก็เป็นอีกหนึ่งส่วนของปัญหา รายได้ที่เกิดจากแรงงานประเภทนี้มักถูกโอนกลับประเทศต้นทางผ่านช่องทางที่ไม่ใช่ระบบธนาคาร ไม่ถูกบันทึกในหมวดการส่งเงินกลับ (remittances) ทำให้สถิติทางการไม่สะท้อนธุรกรรมเหล่านี้

 เมื่อพิจารณาจากตัวเลขในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิของไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จากปี 2564 ที่มีค่า 340,290.37 ล้านบาท ลดลงเป็นลบในปี 2565 ที่ -2,528.18 ล้านบาท แล้วจึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 และ 2567 ถึง 180,404.36 ล้านบาท และ 530,855.49 ล้านบาท ตามลำดับ

 การที่ค่า NEO เป็นลบในปี 2565 อาจบ่งชี้ถึงการไหลออกของเงินทุนที่ไม่ผ่านระบบทางการ ในขณะที่การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2567 อาจสะท้อนถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจใต้ดินหรือการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมทางการเงินที่ไม่ถูกบันทึก

 นอกจากนี้ ค่า NEO ที่สูงยังเป็นสัญญาณเตือนถึงการมีอยู่ของเศรษฐกิจใต้ดินที่อาจมีขนาดใหญ่กว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งหมายถึงการสูญเสียรายได้ภาษีและการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะค่าความคลาดเคลื่อนสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในดุลการชำระเงินของไทย โดยเฉพาะการพุ่งสูงถึง 530,855.49 ล้านบาทในปี 2567 เป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญเกี่ยวกับการมีอยู่ของเศรษฐกิจใต้ดินและธุรกิจผิดกฎหมายที่มีขนาดใหญ่ 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 




version 1.0.5-42794e0f7