ยุบสภากระทบ GDP อาจลดลง 1% หากไม่จัดตั้งรัฐบาลใหม่เร็ว
ฐานเศรษฐกิจ
02 ก.ย. 2568 | 17:05 น.
ยุบสภากระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหนัก GDP อาจลดลงถึง 1% แนะรัฐบาลใหม่ต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้น โดยเฉพาะอัดฉีดเงินทุนให้กับ SMEs ฟื้นฟูสภาพคล่องและสร้างความเชื่อมั่นในภาคการลงทุน
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช
ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารและที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย
เปิดเผยกับ 'ฐานเศรษฐกิจ' หากสถานการณ์การเมืองเกิดการยุบสภาในช่วงเวลานี้
จะทำให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของการเติบโตของ GDP
ซึ่งล่าสุดประเทศไทยมีอัตราการเติบโตเพียง 1.8% เท่านั้น
หากภายใน 4 เดือนนี้ยังไม่มีการตั้งรัฐบาลใหม่
หรือหากมีการยุบสภาจริง ๆ จะส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงได้ถึง 1% หรือมากกว่านั้น ซึ่งปัญหาหลักที่ตามมาคือ
การเบิกจ่ายงบประมาณที่รัฐบาลใหม่จะไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ
ซึ่งจะทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศสะดุด
ในช่วงเวลาปลายปีที่รัฐบาลจะต้องเตรียมการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่มักจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
การยุบสภาจะทำให้ทุกอย่างชะงักและไม่สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามกำหนด
ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศในระยะสั้น
หากการยุบสภาทำให้กระบวนการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องใช้เวลานานถึง
3-4 เดือน โดยกว่าจะเลือกตั้งเสร็จและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้
จะทำให้เศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีและช่วงต้นปีหน้าได้รับผลกระทบอย่างหนัก
โดยเฉพาะในภาคการลงทุนจากต่างประเทศ
เนื่องจากบริษัทต่างชาติที่มีแผนการลงทุนในประเทศไทย
จะรอให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้นก่อนแล้วจึงตัดสินใจลงทุน
ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจไทยสะดุดลง
และส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะกลาง
ผลกระทบจากการยุบสภาจะไม่ใช่แค่ระยะสั้น
แต่จะลากยาวไปจนถึงระยะกลาง หากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่เกิดขึ้นโดยเร็ว
และหากไม่มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่ในช่วงไฮซีซั่น
จะทำให้ภาคธุรกิจและการลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก
"การเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ต้องทำให้เร็วที่สุด เพราะเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากอยู่แล้ว โดยเฉพาะในช่วงสองปีที่ผ่านมา ที่รัฐบาลไม่ได้บริหารเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เศรษฐกิจของไทยมีการเติบโตต่ำที่สุดในอาเซียน และยังไม่มีนโยบายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นในภาคเอกชนได้"
ทั้งนี้ นโยบายเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ควรดำเนินการ
โดยเฉพาะการอัดฉีดเงินทุนให้กับธุรกิจ SMEs ที่ขาดสภาพคล่องจากการขาดกระแสเงินสด โดยการออกเงินกู้แบบ "soft
loan" หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนธุรกิจ SMEs ให้สามารถดำเนินการต่อไปได้
โดยเฉพาะธุรกิจที่มีขนาดเล็กและกลางที่ได้รับผลกระทบจากการขาดสภาพคล่องในช่วงสองปีที่ผ่านมา
"เงินทุน soft
loan ควรได้รับการสนับสนุนจาก บสย.
(บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม) ที่สามารถค้ำประกันให้กับธุรกิจ SMEs
ที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน โดยเสนอให้รัฐบาลออกเงินทุน soft
loan ให้กับธนาคารของรัฐ และให้ธนาคารพาณิช
เพื่อให้สามารถนำไปกระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจได้"
สุดท้าย แม้ในช่วงที่รัฐบาลใหม่ยังไม่ได้รับการจัดตั้ง ระบบเศรษฐกิจและภาคธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นด้วยมาตรการที่มีประสิทธิภาพ และรัฐบาลใหม่ต้องสามารถดำเนินการนโยบายต่าง ๆ ให้รวดเร็วและเป็นรูปธรรม เพื่อที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้สามารถกลับมาเติบโตได้ในระยะสั้นและยาว นอกจากนี้ เขายังเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการสถานการณ์การเมืองให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบที่ยืดเยื้อไปถึงปีหน้า
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++