เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาโครงสร้าง พื้นที่การคลังแคบ จี้รัฐขยายฐานภาษี
ฐานเศรษฐกิจ
31 ส.ค. 2568 | 17:51 น.
คลังชี้สัดส่วนรายได้รัฐต่อจีดีพีต่ำกว่าประเทศตลาดเกิดใหม่ 3% ต่อจีดีพี แนะรัฐขยายฐานภาษี เก็บภาษีประเภทใหม่ ฝั่งสภาพัฒน์ ชู 4 แนวทางปฏิรูปการคลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
ได้จัดงานสัมมนาวิชาการ “Fiscal Transformation พลิกโฉมการคลังไทยสู่ความยั่งยืน”
วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา
โดยภายในงานสัมมนาภาคบ่ายเป็นการเสวนาในหัวข้อ “Fiscal Transformation:
Shaping Policies for Sustainable Change ยกระดับนโยบายการคลังสู่ความหวังที่ยั่งยืน”
ซึ่ง สศค. ได้รับเกียรติจาก1) นายดนุชา
พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2) ดร.นพ.พงศธร
พอกเพิ่มดี รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข 3) คุณสมิทธ์ พนมยงค์
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กัลฟ์
เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด
(มหาชน) และ 4) ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เข้าร่วมการเสวนา
โดยนายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)
กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายทางการคลังจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การปรับสมดุลทางการคลัง (Fiscal
Consolidation) ของประเทศไทยดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International
Monetary Fund: IMF) พบว่า
สัดส่วนรายได้รัฐบาลของไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic
Product: GDP) ยังอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ที่ไม่พึ่งพาทรัพยากรและสินค้าพลังงาน
ซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3 ต่อ GDP
ดังนั้น
รัฐบาลอาจพิจารณาแนวทางในการเพิ่มความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลผ่านการปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
การขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา รวมถึงการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ ๆ
ให้ทัดเทียมสากล ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพย์สินภาครัฐที่อยู่ในภาคนอกงบประมาณ
เพื่อนำมาสนับสนุนการรักษาเสถียรภาพทางการคลัง โดยในการดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าว
ควรคำนึงถึงการแก้ปัญหาและรับมือกับความท้าทายเชิงโครงสร้างอย่างตรงจุดด้วย
นายดนุชา พิชยนันท์ ได้กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและแนวทางการยกระดับภาคการคลังของประเทศไทย ว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตท่ามกลางปัจจัยความท้าทายหลากหลายด้าน อาทิ การค้าและการลงทุน
ระหว่างประเทศ การเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์
การก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น
ขณะที่พื้นที่ทางการคลัง (Fiscal Space) มีจำนวนจำกัด โดยมีสาเหตุจากความสามารถในการจัดเก็บรายได้ภาครัฐที่ลดลง
และแรงกดดันด้านรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะปรับตัวสูงขึ้น
ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความน่าเชื่อถือของประเทศ
ทั้งนี้ ภาครัฐควรมุ่งเน้นดำเนินการตามแนวทางการปฏิรูปการคลังผ่าน
1.
การปรับโครงสร้างรายได้
โดยการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อพิจารณาจัดเก็บจากแหล่งรายได้ใหม่และปรับขึ้นอัตราภาษีบางรายการให้เหมาะสมกับสถานการณ์เศรษฐกิจ
2.
การปฏิรูปประสิทธิภาพการใช้จ่าย
โดยการทบทวนรายจ่ายและดำเนินการนโยบายสวัสดิการของประชาชนแบบมุ่งเป้า (Targeted
Policies) ให้มากขึ้น เพื่อลดความซ้ำซ้อน
ควบคู่กับการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงโครงสร้างในระยะยาว
3.
การบริหารจัดการหนี้สาธารณะอย่างยั่งยืน
4.
การปฏิรูปบทบาทภาครัฐและส่งเสริมการมีส่วนร่วมภาคเอกชน
ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอย่างยั่งยืนในอนาคต
ดร.นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี
ได้กล่าวถึงภัยคุกคามและความท้าทายหลักต่อการคลังสาธารณสุขไทยไว้ 4 ประการ ว่า ได้แก่ สังคมผู้สูงอายุ อัตราการเกิดต่ำ
การสูญเสียสุขภาวะจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และความเหลื่อมล้ำด้านบุคลากรทางการแพทย์ระหว่างเมืองและชนบท
โดยในปัจจุบันประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขต่อ GDP
ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศรายได้ปานกลาง
รวมทั้งมีผลลัพธ์ด้านสาธารณสุขต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มประเทศสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(OECD) ในหลายด้าน เช่น สถานะสุขภาพ ปัจจัยความเสี่ยง
คุณภาพและความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างกองทุนสุขภาพทั้ง 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม
และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ
ทั้งนี้ ได้มีข้อเสนอให้
1.
สร้างมาตฐานเดียว
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่าง 3 กองทุนสุขภาพ
โดยมีสาธารณรัฐเกาหลีเป็นกรณีศึกษา
2. สร้างแรงจูงใจและความแข็งแกร่งให้กับระบบบริการปฐมภูมิ
1.
เร่งรัดการจัดทำ Health
Data Hub และประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์
เพื่อเชื่อมโยงและวิเคราะห์ข้อมูลด้านสุขภาพของคนไทย
คุณสมิทธ์ พนมยงค์ ได้ให้ความเห็นในฐานะภาคเอกชน โดยมองว่า
การจัดเก็บภาษีของภาครัฐจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคเอกชน โดยในอดีต
รัฐบาลมุ่งเน้นการจัดเก็บภาษีเงินได้
เพื่อลดความเหลื่อมล้ำจากอุตสาหกรรมที่เติบโตได้ดี
แต่ในปัจจุบัน
ประเทศไทยเผชิญหน้ากับความเหลื่อมล้ำในมิติอื่นเพิ่มขึ้น เช่น
การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มมากขึ้น เป็นต้น
อย่างไรก็ดี
เครื่องมือที่รัฐบาลใช้ในการจัดเก็บภาษีในปัจจุบันยังไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์
และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ในมุมมองของภาคเอกชนได้เห็นถึงความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
โดยเฉพาะการดึงคนที่อยู่นอกระบบภาษีให้เข้ามาอยู่ในระบบ
การพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของมาตรการลดหย่อนภาษีประเภทต่าง ๆ
และการวิเคราะห์อุตสาหกรรมแบบใหม่ในเชิงลึกเพื่อหาช่องทางในการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม
นอกจากนี้
การบริหารทรัพย์สินของรัฐเชิงรุกโดยมุ่งเน้นไปที่พื้นที่เชิงพาณิชย์ผ่านการเปรียบเทียบกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ของภาคเอกชนที่อยู่ใกล้เคียง
เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเพิ่มเติมรายได้ของรัฐได้มาก
และทำให้ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ประกอบการลดลงไปด้วย
โดยสรุป ผู้ร่วมงานเสวนาต่างเห็นว่า
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม
ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถทางการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ภาครัฐและภาคเอกชนจึงมีมุมมองที่สอดคล้องกันว่า
จำเป็นต้องมีการยกระดับภาคการคลังอย่างเร่งด่วน
“โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
ควบคู่กับการบริหารจัดการรายจ่ายภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนทางการคลังและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวได้อย่างแท้จริง”
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++